วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557

จาก .. ป่าอุ้มผาง จ.ตาก สู่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี







            เป้นTripการเดินทางที่ต้องสำรวจมากมาย แม้จะเป็นระยะทางไกลข้ามจังหวัดจากภาคเหนือตอนล่างสู่สุดชายแดนด้านตะวันตก แต่ก็ได้พานพบธรรมชาติที่งดงามแปลกตาอย่างคุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อย




           วันแรกนั่งนถกระบะจากอุ้มผางไปตามทางโขยกเขยกที่ดูไม่เป็นทางเลย กว่าจะถึงหน่วยพิทักษ์ป่าฯกะแง่สอดก็เที่ยงกว่าๆเข้าไปแล้ว วันนี้เราจึงพักผ่อนกันก่อน รุ่งขึ้นจึงเริ่มเดินเท้าลงไปสำรวจน้ำตกกะแง่สอด ช่วงแรกราบเรียบ แต่เพียงชั่วครู่ ทางก็ลาดชันดิกลงสู่หุบเขา ร่วมครึ่งชั่วโมงเศษจึงถึงลำน้ำ
รูป  003 คือ "พูพอน" ซึ่งต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามริมลำห้วยหรือบริเวณที่มีความชื้นสูง หรือในป่าดิบที่มีไม้ยืนต้นต่างอวดยอดชูสูงขึ้นเพื่อแข่งขันแย่งแสงแดด จะพบว่าบริเวณโคนต้นของไม้เหล่านั้น(ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไม้เนื้ออ่อน เช่น สมพง ตะแบก เสลา อินทนิล เป็นต้น) จะมีลักษณะแผ่ออกมาราวกับปีกที่กางออกมา ส่วนนี้แหละที่เรียกว่า“พูพอน” ไม้แต่ละชนิดก็จะมีรูปร่างและขนาดของพูพอนที่แตกต่างกันไป จึงช่วยให้เราจำแนกต้นไม้ได้เป็นอย่างดี




              ทำไมต้นไม้ต้องสร้างพูพอน? ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าในป่าเขตร้อนนั้นสภาพอากาศในป่าจะร้อนและมีความชื้นสูง ทำให้ใบไม้กิ่งไม้และอินทรียสารต่างๆถูกย่อยสลายอย่างรวดเร็วกลายเป็นแร่ธาตุสะสมอยู่บริเวณผิวดิน ครั้นเมื่อฝนตกลงมาหนักก็จะชะเอาสารอาหารเหล่านี้หายไปกับสายน้ำ คงมีแร่ธาตุส่วนน้อยเท่านั้นที่จะซึมลงไปในดิน ดังนั้นเมื่อแร่ธาตุต่างๆอุดมสมบูรณ์อยู่เฉพาะบริเวณผิวดินเป็นจำนวนมาก พืชจึงปรับตัวให้ส่วนใหญ่ของรากกระจายอยู่เป็นวงกว้างตื้นๆใต้ผิวดินเพียงเล็กน้อย เพื่อดูดซึมอาหารแร่ธาตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกเว้นรากแก้ว พืชจึงจำต้องขยายส่วนโคนลำต้นให้แผ่ออกเพื่อใช้ค้ำยันลำต้นเมื่อเผชิญลมพายุ รวมทั้งช่วยรากดูดซึมอาหารแร่ธาตุได้มากขึ้นและรวดเร็วอีกด้วย
  

          
              นอกจากนี้ไม้ที่เกิดพูพอนนั้น เรายังอาจพบได้ในบริเวณแห้ง ซึ่งแสดงว่าใต้พื้นดินมีก้อนหินน้อยใหญ่อยู่มากมาย ซึ่งรากไม่สามารถแทงลงไปยึดเพื่อพยุงลำต้นได้ จึงจำต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของตนด้วยการสร้างพูพอนขึ้นมา


น้ำตกกะแง่สอด..ไม่มีการนับจำนวนชั้นที่แน่นอน เพราะจากที่เราลงไปถึงลำน้ำก็มีชั้นน้อยใหญ่มากมาย มองตามสายน้ำลงไปก็พบว่ามีอีกไม่รู้กี่ชั้น เป้าหมายของเราอยู่ที่ตอนบนสุดของสายน้ำ ซึ่งต้องเดินทวนน้ำตกขึ้นไป ด้วยสภาพน้ำตกแห่งนี้เป็นหินปูน จึงเดินได้สบายๆ ไม่ลื่น แต่บางช่วงที่เป็นแอ่งน้ำลึกเขียวใส เราก็จำต้องเดินเลาะไปตามขอบ หากใครพลาดก็เปียกโชกไป




บางช่วงต้องข้ามกองไม้ล้มที่น้ำพัดพังทลายในช่วงหน้าฝนที่ผ่านมา กว่าจะถึงชั้นสูงสุดก็ใช้เวลาราวชั่วโมง




ซึ่งสวยคุ้มค่ามากๆ บริเวณเพิงผาประดับประดาไปด้วยมอสส์เขียวชอุ่มราวกับกำมะหยี่ บริเวณโรงอาหารของหน่วยฯมีต้นเสี้ยวกำลังออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้น



ไม้ป่าวันนี้ทีพบมีไม่น้อยทีเดียว





"นางแลว"..ผมไม่ทราบว่าเป็นไม้ในวงศ์ใดและชื่อวิทยฯว่าอย่างไร รู้แต่ชื่อที่ชาวบ้านเรียกกัน ใครรู้ช่วยบอกผมด้วยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้า ส่วนเอื้องโมกข์..มันอยู่สูงจริงๆครับ ถ่ายยากเหลือเกิน เล่นเอาปวดคอ






หลังสิ้นแสงขอบฟ้าลับจางหาย เราก็ช่วยกันทำอาหารและพูดคุยวางแผนการเดินทางพรุ่งนี้ รุ่งขึ้นก็ออกแต่เช้าตรู่เพื่อหนีความร้อน





ตามทางพบไม้ป่าหลายชนิด





แมลงที่น่าสนใจก็มีมากทีเดียว โดยเฉพาะเจ้าตั๊กแตนตำข้าวกล้วยไม้ที่มีสีสันสดใสสะดุดตา ถึงแม้จะมีอยู่เกือบทั่วทุกภาค แต่ก็พบหายากมาก







กว่าจะถึงบ้านกะเหรี่ยงแม่จันทะที่นับถือลัทธิฤาษีก็เที่ยงกว่าๆ นอกจากวิถีชีวิตที่เรียบง่ายจนน่าสนใจแล้ว เรายังแวะไปดูบริเวณลำน้ำแม่กลองไหลลงมารวมกับลำน้ำแม่จัน ก่อนไหลต่อไปลงสู่เขื่อนศรีนครินทร์





เดินข้ามฃลำน้ำแม่จันไปฝั่งตรงข้าม นึกว่าจะถึงแล้ว เพราะเป็นเวลาบ่าย3โมงเศษ ที่ไหนได้เราต้องเดินอีกร่วม2ชั่วโมงเศษจึงจะถึงบ้านตะละโค่ง อันเป็นจุดหมายในคืนนี้
รูป026 ที่มองเห็นแนวเขายาวเหยียดนั้น จะสังเกตเห็นยอดเขาโผล่ขึ้นมา3ลูก ลุกกลางนั่นแหละที่เราเดินมา..พระเจ้า






ถึงแล้ว..บ้านตะละโค่ง รูป029 ที่มองเห็นแนวเขามีรูปยอดเขาปูดขึ้นมาคล้ายๆกับชาวกะเหรี่ยงนับถือลัทธิฤาษี ซึ่งเขาจะเกล้าผมเป็นกระจุกและผูกด้วยผ้าขาว นั่นคือจุดที่เราต้องเดินข้ามในวันหรุ่งนี้ รูปตั๊กแตนกิ่งไม้.ต้องตาดีๆนะครับ ถึงจะดูออก






เห็นซากกระรอกที่เด็กกะเหรี่ยงยิงตกลงมาตายแล้ว ได้แต่สงสาร แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นวิถีชีวิตของเขาที่ต้องช่วยพ่อแม่หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว







ตามลำน้ำพบแมลงปอเข็มสีสวยจับใจ มดแดงไม่ได้จูบกันนะครับ แต่เป็นการสื่อสารระหว่างพวกเขาถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง






วันนี้เราออกแต่ตีนฟ้ายังไม่ยกขึ้นทาบขอบฟ้า เพราะรู้ว่าช่วงขึ้นเขาต้องใช้แรงมาก การขึ้นช่วงเช้ามากๆท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ทำให้เราไม่ร้อนและเหนื่อยมากนัก กว่าจะถึงก็ต้องใช้เวลาเกือบ2ชั่วโมง บนดอยแห่งนี้เป็นแนวเส้นแบ่งทางธรรมชาติระหว่าง จ.ตาก กับ จ.กาญจนบุรี นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีสถูปที่ชาวกะเหรี่ยงสร้างไว้ แต่ที่เห็นเป็นรอบรูโหว่ เกิดจากชาวกะเหรี่ยงที่มีนิสัยไม่ดี(เฉกเช่นคนทุกเชื้อชาติ)ได้ทุบให้แตกเพื่อขโมยของมีค่าที่ชาวบ้านใส่ไว้เป็นสิริมงคล





ที่สำคัญบนดอยนี้จะมีต้นลั่นทมคู่ขึ้นอยู่ ต้นหนึ่งเป็นดอกสีขาว อีกต้นเป็นดอกสีแดง เล่ากันว่าบริเวณใดที่มีต้นลั่นทมคู่2สีนี้ขึ้นอยู่ เป็นสัญลักษณ์เส้นทางเดินทัพของพระเจ้านเรศวรมหาราช จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ แต่ผมเคยพบ 3-4 จุด ในป่าทุ่งใหญ่ฯ โดยไล่มาจากทิศใต้สู่ทิศเหนือ หลังจากพักหายเหนื่อยเราก็เดินกันต่อไป จากจุดนี้ใช้เวลาเดินประมาณ 4-5 ชั่วโมง ก็ถึงจุดหมาย






ช่วงเดินในป่าทุ่งใหญ่ บริเวณลำน้ำเราได้พบรอยเท้าสุนัขจิ้งจอก ทำให้แต่ละคนหูตาสว่างไสว หายเหนื่อยกันทันที ป่าช่วงนี้ล้วนดาษดื่นไปด้วยดงดอกเสี้ยวที่บานสะพรั่งเต็มไปหมด จวบจนเกือบ5โมงเย็นเราก็ถึงหน่วยพิทักษ์ป่าฯจะแก อันเป็นสิ้นสุดการเดินเท้าเพื่อสำรวจฯตามเป้าหมายที่ได้รับมอบหมายมา





ขอบคุณข้อมูลจาก .. http://www.magnoliathailand.com

เรวัติ  น้อยวิจิตร / สมเจตน์ สายแก้ว












 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น